วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตำนาน สำหรับสาวๆ ที่ยังไม่มีแฟน

มีตำนาน เล่าขาน กันสืบมามีคานหนึ่ง สวยสง่า เปี่ยมราศรีอันทางขึ้น นั้นเดินง่าย สบายดีแต่ "โทษที" ขาลง ยากกกกกก ลำบากลำบนต้นกำเนิด เกิดจาก สาวนางหนึ่งสวยสุดซึ้ง สวยกว่า น้องน้ำฝนเป็นลูกสาว เศรษฐี ประจำตำบลชราชน หนุ่มน้อยใหญ่ ต่างหมายปอง...ท่านเศรษฐี องอาจ ประกาศว่าอันลูกข้า หนึ่งนี้ ไม่มีสองหากแม้นใคร อยากได้ ไปคุ้มครองอย่างน้อยต้อง ทองล้านชั่ง? นี่กันเอง (ราคา)...แต่ลูกสาว เศรษฐี มีคนรักยากจนนัก จนยิ่งกว่า จะหาไหนโอ้ชาตินี้ มีกรรมหนัก ขอพักใจแค้นบรรลัย ต้องลาไกล ไปขุดทอง...หายไปร่วม สามสิบปี มีทองหลายข่าวจากสาย สมใจ ให้คลายหมองว่าน้องนั้น ยังดีอยู่ ไร้คู่ครองอยู่ไม่ได้ จำรีบต้อง ไปจองเธอ
...บอกว่าที่ พ่อตา "มาแล้วครับ"มาพร้อมกับ ทองตามข้อ พ่อเสนออยู่ที่ไหน หวานใจ I WANT TO SEE HERพ่อบอกเออ!!!อยู่ข้างใน เข้าไปเลย...แสนดีใจ ได้จะพบ ประสบหน้าร้องถาม ป้า (ที่นั่งอยู่)ป้าบอกว่า ก็ตัวฉันเอง นี่ยังไงจำน้องน้อย ไม่ได้ น้อยใจนัก...เจ้าหนุ่มจ้อง มองดู อยู่ไม่นานแสนดีใจ ประมาณว่า น้ำตาไหล (หนัก)หัวใจเต้น ระรัว ตัวเริ่มชักดิ้นสักพัก แล้วก็จาก โลกนี้ไป...ทองที่ขน มามากมาย ทำไงดีสาวจึงมี โครงการ ทำงานใหญ่สร้างเป็นคาน ไว้นั่ง ฟังเพลงไทยจนหล่อนตาย จึงทิ้งไว้ เป็น "ชาติพลี"คานนี้ขึ้น ไปแล้วจะติดใจ อยู่ได้นานจะเบิกบาน เปี่ยมสง่า และราศรีไร้ปัญหา ไร้บุตรธิดา (และ) ไร้สามี

ข้อคิดดีๆ จากรอยตะปู

มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใครก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไปเด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะแล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้วพ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว
วันแล้ววันเล่า เด็กชายก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จพ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอกลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิมมันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำอะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการเอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หน ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำคำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะจำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไปสิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่าเราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่นวางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลายทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

กล่องของแม่

แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย
" หนักมั้ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้ว กัน"
ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่อง เก่า ๆ นั้น จากมือแม่แต่ไม่สำเร็จแม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัด ระวัง ส่วนมือประคองกล่องที่ ว่าไว้อย่างมั่นคง
วันสุด ท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉันเมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุข มาก สุขที่แม่เข้าใจความจำ เป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น
แน่นอนตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ทุกคนจะมีความสุขเพราะเป็นสถานที่สำหรับคน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความ ต้องการ ความคิดอ่านและอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือน กัน มาไว้ใต้ชายคาเดียวกันมันเป็นทฤษฎีที่ถูก ต้องทฤษฎีของการแยกประเภทแยกโลกออกจากกันให้ ชัดเจน เพื่อลดความชัดแย้งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่น นี้
"ไปก็ไปซิ ว่าแต่แกจะอยู่อย่างไรล่ะ" แม่ตอบง่าย ๆ
หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนานสอง นาน
ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วง แหน "จะอยู่จะกินยังไรต่อไป"
" แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว" ฉันตอบแม่อย่างเด็ด เดี่ยวบ้าง
นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตที่ ปกติ เพื่อรอวัน "ย้ายบ้าน"แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่ อย่างที่ฉันคิดไว้ แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหยอยอย่างที่พวกเราพี่ ๆ น้อง ๆ กลัว กัน และไม่ ได้ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่น ๆ ที่เคยเป็นมา
พวกพี่ ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีก ที่รุกถล่มฉัน อยู่หลายวัน "แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้อง ผลักใสแกไปอย่างนี้" นี่พี่สาวคนโต
"คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันหนัก หนา ชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกัน แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็น บ้า " นี่ก็พี่เขยจอมตืด
"แม่คงเสียใจพิลึก แก่ลองไปคิดดูใหม่ดี ๆแล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริง เหรอ""แกก็หัดใจเย็น ๆ ลงมั่งสิ ลูกผัวก็ไม่มีแม่คน เดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้"
เออ.เอาเข้าไป ได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนัก แต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ ซักคน นอกจากฉัน ก็ใอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ก็เพราะแม่ นั่นแหละ
วัน ๆ เวลาที่เหลือจากการทำงานต้องอุทิศให้แม่ไปจนหมด แล้วจะไปพักร้อนยาว ๆ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมมาดูแลแม่ ให้ พวกปากดีที่ว่าตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละ วันหยุดยาวที่ไรต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง
"โอ้ย ไม่ได้หรอกฉันจองโรงแรมไว้แล้ว แกไว้ไปคราวหน้าแล้วกัน เอา เถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก" อ๊วกจะแตก ใครอยากได้ของฝาก พรรค์นั้น ขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วย ฉาบ และของบ้าๆ บอ ๆ อีกเป็นพะเรอ แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่ กิน เดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก ทุเรศ!
แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ ไม่มีคำว่าพักร้อน ไม่มีวันหยุดยาวอย่าง ใคร ๆ เขา ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำ ไม่มีงานวันเกิดเพื่อน หรือ งานสนุกอะไรทั้งนั้น
สรุปแล้วฉันจะหาโอกาสที่ไหนไปมีแฟน ล่ะ เลยกลายเป็นลูกเหลือขออยู่คนเดียวในบ้านนี้ แหละ ลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมาขอ ไปหมดแล้ว ยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉัน ใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น "ลูกเหลือขอ" ได้ดีเท่า ฉัน
ใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่าพี่อ้อย พี่แอ๊วและพี่อ๋อม และใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่น ๆ เพียง แต่แม่พวกนั้นมันเกิดก่อน เลยได้มีโอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกัน ไปหมดแล้ว ฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะ ฉิบ
ตกที่นั่งต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟัง แม่บ่นและคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเสื้อตัว ใหม่ ผมทรงใหม่ อาหารเย็นของแม่แต่ละ วัน และวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่าง ๆ
ก็ไม่รู้เป็นไง ให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้งแม่จำเพราะต้อง ไปไหว้พระไหว้เจ้า เอาวันที่ฉันอยากออกไปซ๊อป ปิ้ง หรือมีนัดทุกทีซีน่า "แม่ไปวันอื่นไม่ได้ เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน"
แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและ เสียงสะบัดของฉันเลย "วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจาก สวรรค์ วันอื่นไปไม่ได้"
หรือไม่ก็ "วันนี้วันพระ ใหญ่ปีหนึ่งมีไม่กี่วันเอง ไม่ไปไหว้ได้ ไง" โอ๊ย จะบ้าว่ะ อยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจ นัก นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำคือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อ ยา ส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าประจำกัน ไป คือ เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสีย
วันดี คืนดีก็หกล้มหกลุก ให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน ก็จะไม่อารมณ์ เสียได้ไง ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน หรือมีอันต้องมีเหตุ ให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุด จนแค่เดินเข้าไปหาเจ้า นายโดยไม่ต้องอ้าปากพูด นายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว (ดีที่นาย ดีและเข้าใจ)
ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดี ว่า คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่ง หรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่น ๆ หรอก จน กว่าแม่จะตาย
แล้วเมื่อไรละแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อน แม่ก็ได้ใครจะรู้ แม่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วพร้อมเอากล่องของแม่วางบน ตักโดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลัง พอพ้นซอยเท่านั้น แหละ รถติด เป็นแพเต็มถนนฟ้าที่ดำทะมึนตั้งเค้ากะเช้าก็สำแดงอาการ ทันที กลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมี อารัมภบท
มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถ ติด "แม่หนาวมั้ย จะได้หรี่แอร์" แต่แม่สั่น หน้า ตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย "แม่เอาของมาน้อยจัง" ในเมื่อแม่ไม่พูด ฉันเลยต้องพูด ไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้า กับประโยคนี้ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมา ได้
"ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไป ทำไม มันไม่จำเป็น เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอเอา ไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี" ฉันลอบถอนใจ
ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้างแม้จะเป็นการพูดแบบ มองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม
แม่ก็ยังงี้แหละ กลัวของ หาย กลัวคนมาขโมยของของตัว บางทีโวยวายแทบตาย ปรากฏว่าของที่ว่าหาย นั้นอยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ ๆ
รถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับ ที่ทีละนาน ๆ ฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้าน ใหม่ มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ด้วยตามกาลเวลา
กล่อง แบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้ว และผงซักฟอกยี่ห้อนั้นก็เลิก ผลิตไปนานหลายปีแล้ว ยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่อง ยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียว ลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริง ๆ ขนาด กำลังพอดี เพราะพอวางบนตักแล้วขนาดพอดีกับตักแม่ เลย
มีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่ง รวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่น ที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรง ไม่รู้ เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ ทั้งที่เราก็มีกล่อง แบบนี้หลายใบอยู่ วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบา มือ
มันดูน่าขัน ยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับ บ้าน วันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่ไม่ไม่ เอา "ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสบสนกัน หมด เอาไว้ในกล่องนะดีแล้ว"
ตั้งแต่ จำความได้ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้า ๆ ออก ๆ อยู่หลายหน แต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักทีว่ามีอะไร ในนั้น พวกเรามักเรียกว่า "กล่องของแม่"
ก็เท่า นั้น และเป็นอันรู้กันว่าห้ามย้าย ห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอัน ขาด ไหน ๆ แม่จะไม่อยู่แล้ว ฉันเลยถามขึ้นว่า "มีอะไรในกล่องมั่งละ"
แม่มีอาการกระตือ รือร้นเชียว เวลาพูดถึง กล่องของแม่ รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบา มือ แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู
"มีแต่ ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ บน ๆ นี่ก็รูปพวกหลาน ทั้งหลาย ล่าง ๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก"
แม่หยิบสมุดAlbumใส่ รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วเปิดดูที่ละหน้าพร้อมกับยิ้ม กว้าง "นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ ๆ ตัวมันแดง เชียว หน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะ พอโตแล้วซนเป็น บ้า ยายมันเลี้ยงซะเสียคน"
นี่เป็นเอกลักษณ์ อย่างหนึ่งของแม่ คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะไภ้และครอบ ครัว
แม่ยังหยิบโน่นหยิบนี่ออกมาอย่างช้า ๆ พวกรูปทั้งนั้นแหละ มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลาน ย่า รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิด ใหม่ รูปที่พวกลูก ๆ หลาน ๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัด กัน แม่ยังเก็บไว้ยังกะของมีค่า
แล้วก็มาถึง บรรดากระดาษรุ่งริ่ง กระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทนจะ กระจาย เมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้า รถ "อุ๊ย อะไรน่ะ" ฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้น หน้าตักแม่
ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วงปลิวไปตามแรง ลม "วันเกิดพวกแกกับพวกหลาน ๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคน แหละ ไม่งั้นเวลาไหว้พระจำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อ ไหร่ เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมด นี่ นี่ แผ่นวันเกิดตาอึ่ง (คือพี่ชายฉัน)
ตอนมีลูกคนแรกมันสับสน วุ่นวายไปหมดทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไง ดี แต่ยายนะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือ บอกว่า เอ้า วันเกิดลูกเก็บไว้ซะ ตั้งแต่นั้นมาพอใครเกิด ฉันก็ ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกที
ฉันมันคนไม่รู้หนังสือ ไม่เหมือนพวก แกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกันแต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดของแม่ได้ซัก คน วันตายพ่อยังไม่รู้เลย ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุก ปี" น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจ
อาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้ ปฏิทิน ที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวลบาง ๆ ใบใหญ่บ้านเล็ก บ้าง ตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตออกมา
"ลูกแปดคนก็มีแต่แกนี่แหละ ที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน" "อ้าว ทำไมละ" เออ นี่ เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน "ตอบแกเกิดในปฏิทินเขาเขียน ไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยาก ไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรค เป็นเวร พ่อแกเค้าหาหว่าบ้า
เฮ้อ จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อน แหละของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน ใครไม่รักไม่หวงก็บ้า แล้ว ผู้ชายจะมารู้อะไร เค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรา นี่"
พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อ ว่า "พอออกจากโรงพยาบาลอยู่เดือนยังไม่ครบดี ฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย ย่าแก่ด่าซะไม่มีดี เค้าห่วง กลัวเราไม่สบาย ไอ้ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เลยเสียอกเสียใจยก ใหญ่ พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกันว่าแกเลี้ยง ยาก เพราะดวงมันมายังงั้น แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ
ใอ้ฉันนะเสี่ยงเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้ม เลย กลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้า ให้แคล้วคลาด เวลาไปไหน ๆ ก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมา ดี กว่าจะโตมาได้ เฮ้อ " แม่ถอนหายใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบ ได้
ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่ นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับ อากาศในรถแล้ว มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกที่ไม่ ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้ "แกเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์ สซิ่งโฮมของแก ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้วมี ที่นอน มีข้าวกินสามมื้อก็พอ ห่วงแต่แกน่ะ แหละ อีกไม่กีปีจะสามสิบห้าอยู่แล้ว ต้องระวังตัวให้ ดี อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระจะได้อายุมั่น ขวัญยืน ถ้า ฉันยังอยู่กะแกก็จะได้ไปจัดการให้แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้ว ค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย" แม่พูดพร้อมกับ ที่ค่อย ๆ เรียงกระดาษและรูปทั้งหมดลงไปในกล่องของแม่อย่าง เดิม
"ไอ้กล่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่ มีลูกคนแรก มีอะไร ฉันก็เรียงลงไปเรื่อย ๆ หลายสิบปี แล้ว แต่มันยังกะคอมพิวเตอร์ พวกแกเลยละ แถมแม่น ไม่มีอะไรเท่า พวกแกอีกหลง ๆ ลืม ๆ " ฉันไม่เคยรู้เลยว่ากล่องของแม่ จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้
มิน่าแม่จะจำ วันสำคัญของพวกเราได้แม่น อย่างไม่น่าเชื่อ จนพวกเราแอบ เรียกแม่ว่า "สมองคอมพิวเตอร์"
ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่ เอง เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อย ๆ แล้วเก็บไว้อย่างดี ทุกที ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้น ว่า "แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลย ฉันรู้ว่าพวก พี่ ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉัน แต่คนเดี่ยวนี้ มันก็ภาระแยะ ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน ไหนจะเอาลูกไปสอบ ไปวิ่ง เต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีก
แม่พวก สะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เค้า อะไร ๆ ฉันก็รู้ แต่ทำ ไงได้ละ คนมันยังไม่ถึงคราวตาย มันก็ต้องอยู่ไปอย่างนี้ แหละ ใช่ว่าอยากตามก็จะได้ตายซะที่ไหน แก่แล้วลำบาก ไปไหน ต้องอาศัยคนอื่น ทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้นคน นี้ มัน เหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเค้า ไอ้ที่เคยคล่อง ๆ ก็กลายเป็น ภาระ ความจริงไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน บางที ถ้าไม่มี ภาระเรื่องแม่ แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที"
เงาดำในใจฉัน เริ่มคลี่คลายออกกลายเป็นเพียงหมอกบาง ๆฉันแหงนหน้าไปดูท้อง ฟ้าข้างนอก ฝนเริ่มบางตา แสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้ บ้าง
"แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า ไอ้ที่ฉันจะไปอยู่มันคงดี เพราะราคามันแพง จะมีคนแก่ซัก กี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพง ๆ อย่างนั้น ห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเจอ คนดีพอใช้ได้ก็อย่าเลือกมากมาย รับแต่งงาน รีบมีลูก แก่ แล้วจะได้ไม่ลำบาก
ดูอย่างชั้นซี อย่างน้อยถึงลูกไม่มีมา ดูแล เวลาให้ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ ถ้าไม่ มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้" ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกัน ไปพักหนึ่ง ฉันบอกแม่ว่า "อิ๋วจะไปหาแม่ บ่อย ๆ "
"อย่าพูดยังงั้นเลยเดี๋ยวนี้การ จราจรมันสาหัสเหลือเกิน เวลาก็ไม่ค่อยมี เรื่องต้องทำก็มีแยะไป หมด เอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน
แต่ถึงพวกแกไม่ มาฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมด แล้ว อยากเห็นหน้าลูกก็ดูลูกเอาในนี้ อยาก เห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้
ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสีย เวลาเปิดกล่องของแม่มาก็เห็นหน้าพวกแก่ได้ ทันที" แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับ ขึ้น
รถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ พร้อมกับฝนที่ขาด เม็ด อีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้วและมีป้ายให้กลับรถ ได้ ฉันพารถ เบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ แม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจ ฉัน กำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบ คงดีไม่ น้อยที่จะได้อวดลูก ๆ ของฉันถึง "กล่องของแม่"

นิทานสอนใจ..........เป็นคุณคุณจะเลือกใคร

ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คนนั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ของเธอ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอพูดกับเขาว่า "ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ" "สามีของเธออยู่ในบ้านไหม" เขาถาม......................
"ไม่" เธอตอบ "เขาออกไปข้างนอก" .................
"ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างในไม่ได้ดอก" เขาตอบ ................
ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกับมาบ้าน เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น "ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด
" เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน "เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก" เขาตอบ "ทำไมล่ะ" เธอถาม
ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า "เขาชื่อ ความมั่งคั่ง" เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า "เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก" เขากล่าวต่อไปว่า "บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ" เธอกลับเขามาข้างในและบอกกับสามีของเธอ สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก "วิเศษจริง ๆ" เขากล่าว "เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง เมื่อเขาอยู่กับเรา บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง" .........................
ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย "ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ"
ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษาจากมุมหนึ่งของ บ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า "จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง" "เราฟังสิ่งที่ลูกสะใภ้แนะนำเถอะ" สามีกล่าวกับภรรยา "ออกไปข้างนอกและเชิญความรักเขามาเป็นแขกของเราเถอะ" ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า "ใครคือความรัก โปรดเข้ามาและเป็นแขกของเราเถอะ" ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน
ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป ด้วยความประหลาดใจ ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จว่า "ฉันเชิญเพียงความรัก" ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ" ชายชราตอบพร้อมกันว่า "ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำเร็จ คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้างนอก แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่ใดที่เขาไป เราจะไปกับเขา "ที่ใดมีความรัก ที่นั่นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จ"
แล้วคุณละคุณจะเลือกใคร.........ถ้าคุณไม่อ่านจนจบ.....................

ครูสมพรคนสอนลิง

“การฝึกผู้ไม่รู้ให้รู้ ไม่จำเป็นต้องลงโทษเฆี่ยนตี ต้องสอนแบบไม่บังคับ ไม่เฆี่ยนตี เพราะการเฆี่ยนตีคือโทสะ เหมือนการทำให้น้ำขุ่นจะไม่เห็นตัวปลา จิตไม่สงบก็ไม่เกิดปัญญา...ครูสามารถฝึกลิงได้ด้วยความรักและเมตตา”
“ครูที่เป็นครูต้องสอนศิษย์ได้ทุกคน จะเลือกรับเฉพาะคนฉลาดเท่านั้นไม่ได้ เพราะถ้าคัดเลือกโดยสอบเข้า เท่ากับปฏิเสธคนอีกจำนวนมากไม่ให้มีโอกาสเรียน แปลว่าสังคมมีการแบ่งแยกและทอดทิ้งคนที่สอบไม่ได้ แล้วเด็กที่สอบคัดเลือกเข้าที่ไหนไม่ได้หรือเด็กที่โง่นั้นจะเอาไปไว้ที่ไหน ใครจะรับผิดชอบคนเหล่านั้น”
เทคนิคการสอนของครูสมพร เริ่มต้นด้วยความรัก โดยครูจะทำให้ดูก่อน แล้วรอจนศิษย์ลิงสนใจอยากเข้ามาทำตาม ถ้าลิงไม่พร้อมที่จะเรียนครูก็จะอดทนและตั้งใจสอนไป จนกว่าลิงยินดีที่จะเรียนด้วย การสอนจะเป็นการฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติเอง โดยการทำซ้ำๆ จนเกิดความรู้ความชำนาญ และสอนจากง่ายไปหายาก เช่น เดือนที่ 1 ฝึกการใช้มือ เดือนต่อไป ฝึกใช้เท้า เดือนที่ 3 ฝึกท่ายืน ท่ากระโดด เดือนที่ 4 ไต่ราว ฯลฯ วิธีการสอนของครูสมพรจะใช้วิธีสอนแบบตัวต่อตัว คือฝึกลิงทีละตัวด้วยความอดทน ให้พัฒนาการอย่างมีขั้นตอนตามความสามารถรายตัว (บุคคล) และใกล้ชิดจนรู้จักศิษย์ลิงแต่ละตัวเป็นอย่างดี ครูสมพรทำตัวเป็นเพื่อนกับศิษย์ โดยกล่าวว่า “ครูที่ดีต้องไม่ถือว่าตัวเองเป็นครู เพราะถ้าครูคิดว่าตัวเองเป็นครู จะทำให้มีอคติ มีอัตตา คิดว่าข้าแน่ ข้าเก่ง...การคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่คับแคบและเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอน เพราะครูจะเชื่อว่าความรู้ของตนเองถูกต้องเสมอ” และสุดท้าย คือการเรียนอย่างมีความสุข โดยไม่ใช้เวลาสอนนานจนศิษย์ลิงเบื่อและไม่อยากเรียน แต่ศิษย์ลิงของครูสมพร ได้เรียนรู้จากการเล่น และเรียนอย่างมีความสุข
“ครูมิใช่มีหน้าที่เพียงให้ความรู้ มิใช่เพียงทำหน้าที่เฉพาะในห้องเรียน แต่ครูคือผู้ที่เอาใจใส่ดูแลศิษย์ทุกคน ส่งเสริมให้ศิษย์ได้เรียนตามความสนใจและความถนัด ครูคือผู้ที่ค้นพบศักยภาพผู้เรียน เป็นผู้ที่สามารถชี้แนะแนวทางอนาคต และส่งเสริมให้ศิษย์ก้าวไปในทิศทางที่ควรจะเป็น หน้าที่ครูไม่ใช่เพียงสอนหนังสือ แต่ครูทำมากกว่านั้น คือ สอนคนให้เป็นคน สอนด้วยความรักความเมตตา”

ข้อคิดธรรม ในเรื่องของชีวิต

พระพุทธองค์ทรงสนทนากับกามนิตหนุ่มที่ไม่ใช่ชื่อขจิต (เพราะคาดเดาจากคำบรรยายในหนังสือว่าคงเป็นหนุ่มรูปงาม จมูกโด่ง ผิวขาว เชื้อสายอารยัน) ว่าโดยสรุปจากเรื่องที่ฟังกามนิตเล่ามา ก็จะเห็นได้ว่า
เมื่อใดมีรัก เมื่อนั้นมีทุกข์

ซึ่งกามนิตหนุ่มก็ค้านอย่างเต็มที่ เพราะในความเห็นของเขา เมื่อชีวิตมีรัก ก็หมายถึงมีความสุขเกิดขึ้นในชีวิตทั้งนี้เป็นการมองชีวิตที่ยังไม่รอบ เพราะมองแค่ความสุขที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นที่เกิดความรักขึ้นเท่านั้น
ถึงแม้พระพุทธองค์จะทรงตรัสสอนให้เห็นถึงความจริงของชีวิตต่อไปอีกว่า เมื่อคนเรามีความรักหรือมีสิ่งที่รัก ในบั้นปลายก็จะเกิดทุกข์ขึ้น คือ

ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งรัก
โดยทรงตรัสต่อว่า ธรรมดาในชีวิตมนุษย์ย่อมประสบกับความทุกข์สองประการ คือหนึ่งการประสบกับสิ่งไม่รัก และการพลัดพรากจากสิ่งรัก ย่อมเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ซึ่งในชีวิตของเรานั้นไม่สามารถปฏิเสธความจริงนี้ได้เลย หรือไม่อาจหาญที่จะกล่าวได้ว่าเราสามารถหลีกพ้นจากทุกข์สองประการในชีวิตนี้ได้

ในชีวิตของเรา จะเลือกพบหรือปรารถนาให้ในชีวิตมีแต่สิ่งที่ดีดีหรือประสบกับสิ่งที่รักและที่ชอบเสมอตลอดไปไม่ได้ ในทำนองเดียวกันก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการพลัดพรากจากสิ่งที่รักได้ตลอดกาล เพราะไม่ช้าวันใดวันหนึ่ง สิ่งที่เรารักนั้นจำต้องพรากจากเราไปแน่นอน
ไม่เราพลัดไปจากเขาหรือเขาพรากจากเราไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรา คือความทุกข์เสมอ

กามนิตหนุ่มได้ฟังก็คอตก เพราะเห็นจริงตามนั้น แต่อาศัยมานะทิฏฐิอันดื้อรั้น แทนที่จะกล่าวสาธุรับธรรมกลับไพล่เฉไฉกล่าวทำนองว่า
สิ่งที่ท่านกล่าวออกมานั้น ก็จริงอยู่ดูมีเหตุผล แต่เป็นคำที่ท่านกล่าวเองหรือว่าได้ยินมาจากพระพุทธองค์เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นคำที่พระองค์พูดเอง(ในฐานะนักบวชในสายตาของกามนิต) กามนิตจึงถอนหายใจแสดงความโล่งอกและกล่าวเสริมว่า ตนอยากไปกราบทูลถามธรรมข้อนี้ต่อพระองค์ หากเป็นคำที่ได้ยินออกจากพระโอษฐ์พระพุทธองค์เองจึงจะเชื่อถือตาม
พระพุทธองค์ทรงได้ยินดังนั้น จึงแสดงอาการดุษฎี คือนิ่งเฉยเงียบไม่ต่อล้อต่อเถียงให้ยาวความ
ตอนรุ่งเช้ากามนิตเร่งรีบออกเดินทางแต่เช้าด้วยดวงจิตที่ร้อนรน กระหายที่อยากจะฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าตนมีโอกาสอันประเสริฐที่ได้สนทนาธรรมกับพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิดตลอดคืน แต่อนิจจาชีวิตตนถึงวาระสุดท้ายถูกวัวบ้าที่วิ่งสวนมาขวิดตาย ในขณะสุดท้ายได้กล่าวร้องขอพระอานนท์และพระสารีบุตรพาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ก็ทนพิษบาดแผลไม่ได้สิ้นใจตายก่อน
เนื้อหาในบทนี้จึงมีชื่อว่า “เด็กดื้อ” ได้แก่ตัวกามนิตนั่นเอง

คงพอที่จะน้อมนำมาเป็นอุทธาหรณ์ของชีวิตเราได้ว่า ธรรมะไม่ว่าจะหลุดออกมาจากปากผู้ใด หากได้ยินได้ฟังแล้ว เป็นธรรมแท้หรือความจริงแท้ ก็ให้น้อมใจรับฟังไว้ อย่าได้ประมาทว่าจะต้องได้ยินจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเลย
หรือเรื่องใดใดก็ตาม หากเกิดในชีวิตเราแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือเลว ก็สามารถน้อมเอามาเป็นหลักธรรมสอนตนได้เสมอ
ทุกครั้งทุกครา ที่เกิดเรื่องใดก็ตามที่เป็นทั้งกุศลและอกุศล ผมมักได้ข้อคิดทางธรรมะดีดีเสมอ และกล่าวคำสาธุดังๆในใจทุกครั้ง เพราะจิตน้อมเห็นตามธรรมที่เป็นจริงอย่างนั้นชัดเจนขึ้น

เชิญชวนทุกท่านลองสำรวจดูว่า ท่านมีของอันเป็นที่รักอยู่กี่อย่าง ทั้งที่เป็นสิ่งของวัตถุ บุคคลหรือสัตว์เลี้ยงใดใดก็ตาม
ลองนั่งนับนิ้วดู แล้วจะประจักษ์ว่าท่านสะสมทุกข์ไว้เท่าจำนวนนิ้วที่นับได้นั่นแหละ

เตรียมตัวเตรียมใจรับความทุกข์ที่พึงจะเกิดขึ้นไว้ให้ดีเถิด


เนื้อเรื่องโดยย่อ
ในเรื่องกามนิต กล่าวถึงบุรุษผู้หนึ่งผู้ซึ่งมีนามว่า กามนิต ผู้ที่หวังจะได้เข้าพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะได้ขจัดความทุกข์ต่าง ๆ ที่ตนได้เผชิญมา และได้พบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ในระหว่างการเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น กามนิตได้เข้าขอพักที่บ้านของช่างปั้นหม้อท่านหนึ่งเป็นการชั่วคราว และในวันเดียวกันนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เสด็จมาขอพักอาศัยที่บ้านหลังนั้นด้วยพอดี กามนิตจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องของตนเองและสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้าโดยที่ไม่รู้เลยว่าพระสงฆ์ที่สนทนาอยู่นั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
เรื่องราวดำเนินส่วนแรกเป็นภาคพื้นดิน และต่อในส่วนหลังเป็นภาคสวรรค์ ที่กามนิต ได้เสียชีวิตระหว่างเดินทางเพื่อจะได้พบ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปเกิดเป็นเทวดาและพบกับ วาสิฏฐี ทั้งสองได้เล่าเรื่องราวชีวิตหลังความรักในโลกมนุษย์ ประสบการณ์แห่งการไขว่คว้าหากันจนได้มาพบเจอพุทธศาสนา ตลอดจนการเห็น การเกิดดับของสรรพสิ่งที่แม้แต่สวรรค์ พรหมก็หลีกหนีไม่เป็น ความเปลี่ยงแปลง มีแต่บรมสุขแห่งพระนิพพาน คือทางออกแห่งการเดินทางอันยาวนานนี้ วาสิฏฐีได้เข้าถึงความจริงนี้ก่อน และทำให้กามนิตได้รู้ว่าบุคคล ที่ตนพบในบ้านช่างปั้นหม้อ ได้ให้สัจธรรมแห่งความจริงไว้พิจารณา คือใคร การไม่ต้องเวียนว่ายอีกต่อไปเป็นเช่นไรในที่สุด ในเรื่องกามนิตนี้ มีกามนิต และวาสิฏฐีเป็นตัวเอก และนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีองคุลิมาล พระอานนท์ และพระสารีบุตร ปรากฏในเรื่องอีกด้วย เป็นการเชื่อมโยมหลักธรรมในพุทธศาสนากับความจริงแห่งความรักได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ

7 เคล็ดลับ รักษาความจำยืนยาว

1. กินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำแต่อุดมไปด้วยผักและผลไม้ รวมทั้งกลุ่มวิตามินบีควรกินปลาหลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะปลาที่มีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดิน เต้นรำ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ทำสวน อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์
3. ไปพบแพทย์เป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
4. นอนหลับให้เพียงพอ หากนอนน้อยกว่าวันละ 7-8 ชั่วโมง ทำให้ความจำและสมาธิไม่ดี
5. ลดความเครียด ด้วยการออกกำลังกาย สวดมนต์ และทำสมาธิ
6. คิดและใช้สมอง ยิ่งใช้สมองมากยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมคอร์สเวิร์ด เข้าร่วมอภิปรายกลุ่ม เข้าเรียนพัฒนาตนเองในคอร์สต่างๆ เรียนเปียโน หรือเรียนภาษา ฯลฯ
7. เข้าสังคมเพื่อให้สมองตื่นตัว เช่น พบเพื่อนใหม่ เข้าร่วมเป็นสมาชิกหรืออาสาสมัคร หรือทำงานนอกเวลา

การนวดผ่อนคลาย

นวดเท้าช่วยผ่อนคลายได้
การนวดภายหลังจากใช้เท้าทำงานหนักมาทั้งวันจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ ไม่เฉพาะแต่เท้าเท่านั้นที่ได้รับผลดี แต่การนวดจะช่วยให้ร่างกายคุณได้พักผ่อนอีกด้วย การดูแลแทานี้อาจทำได้ช่วงก่อนเข้านอน เพียงเติมน้ำอุ่น และน้ำมันกลิ่นหอมลงไปในถังหรืออ่าง จากนั้นนวดเท้าประมาณ 1 นาที แล้วล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดเย็นๆ วิธีนี้จะช่วยให้คุรนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ถ้าเท้าคุณเย็นจัด ให้ใช้น้ำมันถูนวดเท้าเพื่อช่วยให้เท้าอุ่นมากขึ้นก็ได้

นอนหลับสนิทด้วยน้ำร้อน
เพื่อช่วยให้นอนหลับสนิทดียิ่งขึ้น ให้นอนพักและวางขวดน้ำร้อนไว้ที่หน้าท้อง ปิดตาพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ ให้ขวดน้ำร้อนขยับตัวขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ความร้อนจากขวดน้ำร้อนจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดบริเวณนั้นได้ คุณอาจใช้วัสดุอื่นแทนก็ได้เช่นกระเป๋าน้ำร้อน แมว สุนัข หรืออะไรก็ได้ที่มีน้ำหนักและอุ่นๆ

กดจุดลดความเครียด
การกดจุดจะช่วยลดอาการอ่อนเพลียและความตึงเครียดได้ดี ให้หนีบนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ประสานกันจนเกิดนูนเนื้อใต้นิ้วหัวแม่มือ จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมืออีกข้างกดที่เนิน นับ 1 ถึง 3 ค้างไว้สักครู่แล้วปล่อย นับ 1 ถึง 3 กดซ้ำ 3 ครั้ง เท้านี้เอง

วิธีแก้อาการปวดหัว
ถ้าคุณกลับถึงบ้านพร้อมกับอาการปวดหัวเนื่องมาจากความเครียดในที่ทำงาน ให้ใส่น้ำเย็นเฉียบลงในอ่างอาบน้ำประมาณ 4-5 นิ้ว จากนั้นเดินย่ำไปมาในอ่าง 3 นาที เช็ดให้แห้งแล้วใส่ถุงเท้า นอนพัก 10-15 นาที อาการปวดหัวจะค่อยๆ ทุเลาลง

นวดกล้ามเนื้อด้วยลูกกอล์ฟ
ลูกกอล์ฟก็เป็นอุปกรณ์การนวดที่ดี วิธีการนวดก็ไม่ยุ่งยากอะไรเพียงคุณถอดรองเท้า ถูนวดเท้าลูกกอล์ฟ โดยเน้นเป็นพิเศษตรงจุดโค้งของฝ่าเท้า และร่องระหว่างนิ้วเท้าหรือบริเวณที่ปวดเมื่อย วิธีนี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อเท้าได้ในเวลาไม่กี่นาที

นวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันกลิ่นหอม
หยดน้ำมันประมาณ 1-3 หยดบนฝ่ามือ แล้วทาลงบนเส้นผมที่เช็ดหมาดๆ และนวดศีรษะไปด้วย จะเลือกน้ำมันทาผมกลิ่นใดก็ได้เช่น วนิลา ส้ม หรือโรสแมรี่ ลาเวนเดอร์ นอกจากจะหอมสดชื่นแล้วยังช่วยให้รู้สึกร่าเริงอีกด้วย

10 วิธีผ่อนคลายความเครียด

ความเครียดเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม 10 วิธีดังต่อไปนี้จะช่วยคุณผ่อนคลายความเครียด
1. ลดหรือเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โค้ก หรือ ช็อคโกแลต ถ้าคุณทำได้ผลที่ตามมาก็คือความผ่อนคลายทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น มีความกระฉับกระเฉงในการทำงาน และกล้ามเนื้อจะไม่อ่อนล้า
2. บริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พยามยามยกเว้นบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (JUNK FOOD) 3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยที่สุดคุณควรออกกำลังกาย
3 ครั้ง ต่อ 1 อาทิตย์ โดยใช้เวลา 30 นาทีต่อครั้งเป็นอย่างต่ำ การออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมได้แก่ การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ เล่นเทนนิส หรือ แบตมินตัน
4. นอนให้เพียงพอ เมื่อคุณพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้มีโอกาสเกิดความเครียดได้สูง ถ้าคุณกำลังเผชิญอยู่กับความเครียด ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ เข้านอนเร็วกว่าปกติ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นถ้าคุณยังรู้สึกอ่อนเพลียให้คุณเข้านอนเร็วกว่าเดิมอีก 30 นาที จากนั้นคุณจะค้นพบเวลานอนที่เหมาะสมกับตัวคุณเองที่จะทำให้คุณไม่อ่อนเพลีย 3 สิ่งที่บ่งบอกว่าคุณนอนหลับเพียงพอ คือ รู้สึกสดชื่นเวลาตื่นนอน รู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดวันคุณจะตื่นนอนขึ้นเองในตอนเช้าโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
5. รู้จักฝึกฝนตนเองให้ผ่อนคลายอยู่เสมอเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น คุณควรปฏิบัติดังนี้ หาเวลาเดินเล่นหรือนั่งเล่นในสวน ใช้เวลาเล่นกับสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หรือการนอนหลับฯลฯ และยังมีกิจกรรมที่ยังต้องอาศัยทักษะเฉพาะด้านที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ เช่น การนั่งสมาธิ
6. จริง ๆ แล้ว หนึ่งในวิธีที่จะผ่อนคลายความเครียดได้ดีที่สุดคือ การงดเว้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ
7. ไม่ควรตั้งความหวังให้สูงเกินไป คนส่วนใหญ่เกิดความเครียดเนื่องจากการไม่สมหวังฉะนั้น คุณไม่ควรตั้งความหวังไว้สูง ควรตั้งความหวังให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
8. มองโลกในแง่ดี และเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นเรื่องท้าทาย
9. เมื่อเกิดความเครียดพยายามหาที่ปรึกษาพูดคุยที่คุณไว้ใจได้
10. อารมณ์ขันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบำบัดความเครียด

ผมหงอก..ยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่

ในวัยที่เริ่มมีผมหงอกเรามักจะไม่กล้าถอนกัน เพราะเชื่อว่าเมื่อถอนผมหงอกเชื้อผมหงอกจะกระจายจากรากผมเส้นที่หงอก แล้วลามไปที่รากผมบริเวณใกล้เคียง(อย่างกับโรคติดต่อ) จนทำให้ผมหงอกทั้งศรีษะ แต่ในความเป็นจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้นจะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอกจึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจากปัจจัยอื่นต่างหาก เพื่อเป็นการป้องกันที่สาเหตุ ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย เราควรดูแลผมให้ดกดำด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น งาดำ เป็นต้น หรือถ้าหงอกมากแล้วไม่สบายใจจะพิจารณาเป็นการย้อมผมดำแทนก็ได้ แล้วแต่จะเลือกวิธีการที่สะดวกและเหมาะกับตนเอง

อาหารสมอง

อาหารบำรุงสมองที่สำคัญ1. ไทโรซีน (Thyrosine) มีมากในปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาทะเลนย้ำลึก สารไทโรซีนช่วยให้สมองตื่นตัว และมีสมาธิ2. นม และผลิตภัณฑ์จากนม ช่วยทำให้เกิดความสมดุลของสารเคมีในสมอง สร้างความกระฉับกระเฉงให้แก่สมอง3. ข้าวไม่ขัดสี ในข้าวไม่ขัดสีมีกรดอมิโนที่ไม่จำเป็นอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้จะเป็นตัวที่ส่งสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงสมอง4. ผักโขม ช่วยชะลอความเสื่อมของสมองส่วนกลาง เนื่องจากวัยที่สูงขึ้น สมองก็จะเสื่อมลงด้วย5. ขมิ้น สีเหลืองของขมิ้นช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันความจำเสื่อม6. สตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสมองมาเริ่มบำรุงสมองให้ดีอยู่กับเราตลอดไป โดยกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่พอเพียง และหมั่นใช้สมองอย่างต่อเนื่องพร้อมทำสมาธิและพักผ่อนอย่างเพียงพอ