วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กล่องของแม่

แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย
" หนักมั้ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้ว กัน"
ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่อง เก่า ๆ นั้น จากมือแม่แต่ไม่สำเร็จแม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยว และตามองถนนอย่างระมัด ระวัง ส่วนมือประคองกล่องที่ ว่าไว้อย่างมั่นคง
วันสุด ท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉันเมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุข มาก สุขที่แม่เข้าใจความจำ เป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น
แน่นอนตรงนั้น ตรงที่ใหม่ที่แม่จะไปอยู่ทุกคนจะมีความสุขเพราะเป็นสถานที่สำหรับคน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความ ต้องการ ความคิดอ่านและอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือน กัน มาไว้ใต้ชายคาเดียวกันมันเป็นทฤษฎีที่ถูก ต้องทฤษฎีของการแยกประเภทแยกโลกออกจากกันให้ ชัดเจน เพื่อลดความชัดแย้งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่น นี้
"ไปก็ไปซิ ว่าแต่แกจะอยู่อย่างไรล่ะ" แม่ตอบง่าย ๆ
หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนานสอง นาน
ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วง แหน "จะอยู่จะกินยังไรต่อไป"
" แม่อย่าห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว" ฉันตอบแม่อย่างเด็ด เดี่ยวบ้าง
นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตที่ ปกติ เพื่อรอวัน "ย้ายบ้าน"แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเก็บสมบัติของแม่ อย่างที่ฉันคิดไว้ แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหยอยอย่างที่พวกเราพี่ ๆ น้อง ๆ กลัว กัน และไม่ ได้ได้พูดจาโต้แย้งกับฉัน เหมือนเรื่องอื่น ๆ ที่เคยเป็นมา
พวกพี่ ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีก ที่รุกถล่มฉัน อยู่หลายวัน "แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปี อิ๋วก็ไม่น่าจะต้อง ผลักใสแกไปอย่างนี้" นี่พี่สาวคนโต
"คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันหนัก หนา ชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกัน แถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามาก็ราคาแพงเป็น บ้า " นี่ก็พี่เขยจอมตืด
"แม่คงเสียใจพิลึก แก่ลองไปคิดดูใหม่ดี ๆแล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริง เหรอ""แกก็หัดใจเย็น ๆ ลงมั่งสิ ลูกผัวก็ไม่มีแม่คน เดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้"
เออ.เอาเข้าไป ได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนัก แต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ ซักคน นอกจากฉัน ก็ใอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ก็เพราะแม่ นั่นแหละ
วัน ๆ เวลาที่เหลือจากการทำงานต้องอุทิศให้แม่ไปจนหมด แล้วจะไปพักร้อนยาว ๆ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมมาดูแลแม่ ให้ พวกปากดีที่ว่าตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละ วันหยุดยาวที่ไรต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง
"โอ้ย ไม่ได้หรอกฉันจองโรงแรมไว้แล้ว แกไว้ไปคราวหน้าแล้วกัน เอา เถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก" อ๊วกจะแตก ใครอยากได้ของฝาก พรรค์นั้น ขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง ลูกหยี กล้วย ฉาบ และของบ้าๆ บอ ๆ อีกเป็นพะเรอ แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่ กิน เดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก ทุเรศ!
แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ ไม่มีคำว่าพักร้อน ไม่มีวันหยุดยาวอย่าง ใคร ๆ เขา ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำ ไม่มีงานวันเกิดเพื่อน หรือ งานสนุกอะไรทั้งนั้น
สรุปแล้วฉันจะหาโอกาสที่ไหนไปมีแฟน ล่ะ เลยกลายเป็นลูกเหลือขออยู่คนเดียวในบ้านนี้ แหละ ลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมาขอ ไปหมดแล้ว ยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉัน ใครจะมาซาบซึ้งกับความเป็น "ลูกเหลือขอ" ได้ดีเท่า ฉัน
ใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่าพี่อ้อย พี่แอ๊วและพี่อ๋อม และใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่น ๆ เพียง แต่แม่พวกนั้นมันเกิดก่อน เลยได้มีโอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกัน ไปหมดแล้ว ฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะ ฉิบ
ตกที่นั่งต้องมานั่งเลี้ยงแม่ ทนฟัง แม่บ่นและคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเสื้อตัว ใหม่ ผมทรงใหม่ อาหารเย็นของแม่แต่ละ วัน และวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่าง ๆ
ก็ไม่รู้เป็นไง ให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้งแม่จำเพราะต้อง ไปไหว้พระไหว้เจ้า เอาวันที่ฉันอยากออกไปซ๊อป ปิ้ง หรือมีนัดทุกทีซีน่า "แม่ไปวันอื่นไม่ได้ เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน"
แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและ เสียงสะบัดของฉันเลย "วันนี้เป็นวันดี วันเทวดาลงมาจาก สวรรค์ วันอื่นไปไม่ได้"
หรือไม่ก็ "วันนี้วันพระ ใหญ่ปีหนึ่งมีไม่กี่วันเอง ไม่ไปไหว้ได้ ไง" โอ๊ย จะบ้าว่ะ อยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจ นัก นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำคือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อ ยา ส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษก็ชักบ่อยจนกลายเป็นเจ้าประจำกัน ไป คือ เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสีย
วันดี คืนดีก็หกล้มหกลุก ให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน ก็จะไม่อารมณ์ เสียได้ไง ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน หรือมีอันต้องมีเหตุ ให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุด จนแค่เดินเข้าไปหาเจ้า นายโดยไม่ต้องอ้าปากพูด นายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว (ดีที่นาย ดีและเข้าใจ)
ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดี ว่า คงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่ง หรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่น ๆ หรอก จน กว่าแม่จะตาย
แล้วเมื่อไรละแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อน แม่ก็ได้ใครจะรู้ แม่ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วพร้อมเอากล่องของแม่วางบน ตักโดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลัง พอพ้นซอยเท่านั้น แหละ รถติด เป็นแพเต็มถนนฟ้าที่ดำทะมึนตั้งเค้ากะเช้าก็สำแดงอาการ ทันที กลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมี อารัมภบท
มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถ ติด "แม่หนาวมั้ย จะได้หรี่แอร์" แต่แม่สั่น หน้า ตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย "แม่เอาของมาน้อยจัง" ในเมื่อแม่ไม่พูด ฉันเลยต้องพูด ไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้า กับประโยคนี้ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมา ได้
"ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้ว อย่างอื่นไม่รู้จะเอาไป ทำไม มันไม่จำเป็น เสื้อสองชุด รองเท้าแตะคู่ก็พอเอา ไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี" ฉันลอบถอนใจ
ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้างแม้จะเป็นการพูดแบบ มองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม
แม่ก็ยังงี้แหละ กลัวของ หาย กลัวคนมาขโมยของของตัว บางทีโวยวายแทบตาย ปรากฏว่าของที่ว่าหาย นั้นอยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ ๆ
รถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับกับอาการหยุดนิ่งอยู่กับ ที่ทีละนาน ๆ ฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้าน ใหม่ มันเป็นกล่องกระดาษสีน้ำตาลเก่าแก่ด้วยตามกาลเวลา
กล่อง แบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้ว และผงซักฟอกยี่ห้อนั้นก็เลิก ผลิตไปนานหลายปีแล้ว ยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิตตรงข้างกล่อง ยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียว ลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริง ๆ ขนาด กำลังพอดี เพราะพอวางบนตักแล้วขนาดพอดีกับตักแม่ เลย
มีรอยปะตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่ง รวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่น ที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรง ไม่รู้ เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยนกล่องใหม่ ทั้งที่เราก็มีกล่อง แบบนี้หลายใบอยู่ วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบา มือ
มันดูน่าขัน ยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับ บ้าน วันก่อนฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่ไม่ไม่ เอา "ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสบสนกัน หมด เอาไว้ในกล่องนะดีแล้ว"
ตั้งแต่ จำความได้ก็เห็นแม่ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้า ๆ ออก ๆ อยู่หลายหน แต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักทีว่ามีอะไร ในนั้น พวกเรามักเรียกว่า "กล่องของแม่"
ก็เท่า นั้น และเป็นอันรู้กันว่าห้ามย้าย ห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอัน ขาด ไหน ๆ แม่จะไม่อยู่แล้ว ฉันเลยถามขึ้นว่า "มีอะไรในกล่องมั่งละ"
แม่มีอาการกระตือ รือร้นเชียว เวลาพูดถึง กล่องของแม่ รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบนกล่องออกมาอย่างเบา มือ แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู
"มีแต่ ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ บน ๆ นี่ก็รูปพวกหลาน ทั้งหลาย ล่าง ๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก"
แม่หยิบสมุดAlbumใส่ รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วเปิดดูที่ละหน้าพร้อมกับยิ้ม กว้าง "นี่ตาเอกตอนเกิดใหม่ ๆ ตัวมันแดง เชียว หน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะ พอโตแล้วซนเป็น บ้า ยายมันเลี้ยงซะเสียคน"
นี่เป็นเอกลักษณ์ อย่างหนึ่งของแม่ คือมีช่องว่างเป็นต้องจิกลูกสะไภ้และครอบ ครัว
แม่ยังหยิบโน่นหยิบนี่ออกมาอย่างช้า ๆ พวกรูปทั้งนั้นแหละ มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลาน ย่า รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิด ใหม่ รูปที่พวกลูก ๆ หลาน ๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัด กัน แม่ยังเก็บไว้ยังกะของมีค่า
แล้วก็มาถึง บรรดากระดาษรุ่งริ่ง กระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทนจะ กระจาย เมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้า รถ "อุ๊ย อะไรน่ะ" ฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้น หน้าตักแม่
ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วงปลิวไปตามแรง ลม "วันเกิดพวกแกกับพวกหลาน ๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคน แหละ ไม่งั้นเวลาไหว้พระจำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อ ไหร่ เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมด นี่ นี่ แผ่นวันเกิดตาอึ่ง (คือพี่ชายฉัน)
ตอนมีลูกคนแรกมันสับสน วุ่นวายไปหมดทีแรกไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไง ดี แต่ยายนะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือ บอกว่า เอ้า วันเกิดลูกเก็บไว้ซะ ตั้งแต่นั้นมาพอใครเกิด ฉันก็ ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกที
ฉันมันคนไม่รู้หนังสือ ไม่เหมือนพวก แกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกันแต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดของแม่ได้ซัก คน วันตายพ่อยังไม่รู้เลย ฉันต้องนั่งไหว้อยู่คนเดียวทุก ปี" น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจ
อาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้ ปฏิทิน ที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวลบาง ๆ ใบใหญ่บ้านเล็ก บ้าง ตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตออกมา
"ลูกแปดคนก็มีแต่แกนี่แหละ ที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน" "อ้าว ทำไมละ" เออ นี่ เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน "ตอบแกเกิดในปฏิทินเขาเขียน ไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยาก ไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรค เป็นเวร พ่อแกเค้าหาหว่าบ้า
เฮ้อ จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อไว้ก่อน แหละของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือน ใครไม่รักไม่หวงก็บ้า แล้ว ผู้ชายจะมารู้อะไร เค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรา นี่"
พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลมค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อ ว่า "พอออกจากโรงพยาบาลอยู่เดือนยังไม่ครบดี ฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย ย่าแก่ด่าซะไม่มีดี เค้าห่วง กลัวเราไม่สบาย ไอ้ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เลยเสียอกเสียใจยก ใหญ่ พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกันว่าแกเลี้ยง ยาก เพราะดวงมันมายังงั้น แต่จะมีความก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ
ใอ้ฉันนะเสี่ยงเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้ม เลย กลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้า ให้แคล้วคลาด เวลาไปไหน ๆ ก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมา ดี กว่าจะโตมาได้ เฮ้อ " แม่ถอนหายใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบ ได้
ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่ นอกจากเสียงฝนและเสียงเครื่องปรับ อากาศในรถแล้ว มันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกที่ไม่ ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้ "แกเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์ สซิ่งโฮมของแก ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้วมี ที่นอน มีข้าวกินสามมื้อก็พอ ห่วงแต่แกน่ะ แหละ อีกไม่กีปีจะสามสิบห้าอยู่แล้ว ต้องระวังตัวให้ ดี อย่าลืมไปทำบุญไหว้พระจะได้อายุมั่น ขวัญยืน ถ้า ฉันยังอยู่กะแกก็จะได้ไปจัดการให้แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้ว ค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย" แม่พูดพร้อมกับ ที่ค่อย ๆ เรียงกระดาษและรูปทั้งหมดลงไปในกล่องของแม่อย่าง เดิม
"ไอ้กล่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่ มีลูกคนแรก มีอะไร ฉันก็เรียงลงไปเรื่อย ๆ หลายสิบปี แล้ว แต่มันยังกะคอมพิวเตอร์ พวกแกเลยละ แถมแม่น ไม่มีอะไรเท่า พวกแกอีกหลง ๆ ลืม ๆ " ฉันไม่เคยรู้เลยว่ากล่องของแม่ จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้
มิน่าแม่จะจำ วันสำคัญของพวกเราได้แม่น อย่างไม่น่าเชื่อ จนพวกเราแอบ เรียกแม่ว่า "สมองคอมพิวเตอร์"
ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่ เอง เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อย ๆ แล้วเก็บไว้อย่างดี ทุกที ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้น ว่า "แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลย ฉันรู้ว่าพวก พี่ ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉัน แต่คนเดี่ยวนี้ มันก็ภาระแยะ ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียน ไหนจะเอาลูกไปสอบ ไปวิ่ง เต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีก
แม่พวก สะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เค้า อะไร ๆ ฉันก็รู้ แต่ทำ ไงได้ละ คนมันยังไม่ถึงคราวตาย มันก็ต้องอยู่ไปอย่างนี้ แหละ ใช่ว่าอยากตามก็จะได้ตายซะที่ไหน แก่แล้วลำบาก ไปไหน ต้องอาศัยคนอื่น ทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้นคน นี้ มัน เหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเค้า ไอ้ที่เคยคล่อง ๆ ก็กลายเป็น ภาระ ความจริงไอ้ที่แกไม่มีผัวฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกัน บางที ถ้าไม่มี ภาระเรื่องแม่ แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที"
เงาดำในใจฉัน เริ่มคลี่คลายออกกลายเป็นเพียงหมอกบาง ๆฉันแหงนหน้าไปดูท้อง ฟ้าข้างนอก ฝนเริ่มบางตา แสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้ บ้าง
"แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่า ไอ้ที่ฉันจะไปอยู่มันคงดี เพราะราคามันแพง จะมีคนแก่ซัก กี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพง ๆ อย่างนั้น ห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเจอ คนดีพอใช้ได้ก็อย่าเลือกมากมาย รับแต่งงาน รีบมีลูก แก่ แล้วจะได้ไม่ลำบาก
ดูอย่างชั้นซี อย่างน้อยถึงลูกไม่มีมา ดูแล เวลาให้ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ ถ้าไม่ มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้" ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เงียบกัน ไปพักหนึ่ง ฉันบอกแม่ว่า "อิ๋วจะไปหาแม่ บ่อย ๆ "
"อย่าพูดยังงั้นเลยเดี๋ยวนี้การ จราจรมันสาหัสเหลือเกิน เวลาก็ไม่ค่อยมี เรื่องต้องทำก็มีแยะไป หมด เอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน
แต่ถึงพวกแกไม่ มาฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมด แล้ว อยากเห็นหน้าลูกก็ดูลูกเอาในนี้ อยาก เห็นหน้าหลานก็ดูเอาในนี้
ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสีย เวลาเปิดกล่องของแม่มาก็เห็นหน้าพวกแก่ได้ ทันที" แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับ ขึ้น
รถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ พร้อมกับฝนที่ขาด เม็ด อีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้วและมีป้ายให้กลับรถ ได้ ฉันพารถ เบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถ แม้รถคันอื่นจะบีบแตรด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจ ฉัน กำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบ คงดีไม่ น้อยที่จะได้อวดลูก ๆ ของฉันถึง "กล่องของแม่"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น